สมาธิ และ ภาวนา คืออะไร?

สมาธิ และ ภาวนา คืออะไร?

การทำ สมาธิ สมถะ มีหลากหลายวิธี
“หลักการที่แท้” นั้นอยู่ที่่ไหน?

“ บางท่าน งง! การทำสมาธินี้
เดี๋ยวกำหนดลมหายใจ
เดี๋ยวไปเพ่งกสิณ
เดี๋ยวไปภาวนา “พุทโธ”
เดี๋ยวไปเจริญเมตตา
เดี๋ยวเจริญพรหมวิหาร
อะไรกันแน่เป็นการทำสมาธิ?

ถ้าจับหลักได้แล้ว ก็นิดเดียวเท่านั้นเอง

“ สมาธิ ” ไม่มีอะไร คือการที่สามารถทำให้ จิตกำหนดแน่วอยู่กับสิ่งเดียว ได้ตามที่ต้องการเท่านั้นเอง

การที่เรา กำหนดลมหายใจเพื่ออะไร ก็เพราะว่า ใจของเรามันยังไม่แน่วแน่ ยังกำหนดสิ่งเดียวไม่ได้ มันฟุ้งซ่าน เลื่อนลอยเรื่อยไป เราก็เลยพยายามหาเทคนิค หากลวิธีมาช่วยให้มันกำหนดแน่วแน่ อยู่กับสิ่งเดียวให้ได้ สิ่งที่เอามาช่วยนั้นเราเรียกว่า “ กรรมฐาน ” (เขียน กัมมัฏฐาน ก็ได้) เป็นเครื่องมือ เป็นที่ทำงาน หรือ ที่ฝึกงานของจิตใจ

“ กัมมัฏฐาน ” แปลว่า ที่่ทำงาน คือที่่ทำงาน หรือที่ฝึกงานของจิต เพื่อให้จิต ได้รับการฝึก จนสามารถอยู่กับสิ่งเดียวได้ ฝึกให้จิตทำงานเป็น เพราะจิตทำงานไม่ได้ดี จิตยุ่งวุ่นวาย คอยจะเล่น เดี๋ยวก็ไปเที่ยวซุกซน ฟุ้งซ่าน จึงให้มันทำงาน ให้มันอยู่กับสิ่งเดียวให้ได้ เอาลมหายใจ มาให้มันกำหนดบ้าง เอาเมตตา มาให้มันกำหนดบ้าง เอาอสุภะมา ให้มันกำหนดบ้าง เอากสิณมาให้มันเพ่งบ้าง เอามือมาเคลื่อนไหวให้มันตามให้ทันบ้าง เดินจงกรมบ้าง เอามาเป็นอุบายเป็นเทคนิคต่างๆ

แต่สิ่งที่ต้องการ เมื่อเกิดผลสำเร็จแล้ว มีอันเดียว คือ “ จิตกำหนดจับอยู่กับสิ่งเดียวได้ ”

ถ้าเมื่อใดจิตกำหนดแน่วอยู่กับสิ่งเดียวได้ นั้นคือ “ สมาธิ ”

ไม่ว่าท่าน จะใช้วิธีการอย่างไรก็ตาม ขอให้ได้ผลสำเร็จนี้ก็ใช้ได้ ไม่จำเป็น ต้องเอาวิธีที่ท่านบอกไว้ก็ได้ แต่วิธีที่ท่านบอกไว้นั้น ท่านเคยได้ทดลอง กันมาแล้วว่าได้ผล เป็นประสบการณ์ที่ได้บอกเล่ากันมา บันทึกกันไว้เป็น“ปริยัติ” เราก็เชื่อปริยัติในแง่ที่ว่า เป็นประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติมาแล้ว ได้ผลมาแล้ว เราจะได้ไม่ต้อง มาลองผิดลองถูกกันอีก

เป็นอันว่าหลักการของ “สมถะ” มีอันเดียว คือ ทำให้จิตแน่วแน่ อยู่กับสิ่งเดียวที่ต้องการได้ แล้วก็ตามต้องการได้ด้วย

อยู่กับสิ่งเดียวที่ต้องการ บางทีทำสำเร็จแล้ว แต่ไม่ตามต้องการ เช่น มันอยู่ได้สักพักเดียวก็ไปเสียอีกแล้ว อย่างนี้เรียกว่า ไม่ได้ตามต้องการ

ถ้าจะสำเร็จจริง ก็ต้องให้ได้ตามต้องการ จะเอาชั่วโมงก็ได้ชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงก็ได้ครึ่งชั่วโมง สองชั่วโมงก็ได้สองชั่วโมง ถ้าอย่างนั้น เรียกว่า “สมาธิ” จริง แน่วแน่ ต้องการให้อยู่กับอะไร นานเท่าไหร่ ก็อยู่กับอันนั้น นานเท่านั้น ใจไม่วอกแวกไปอื่นเลย”

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง”

คำว่า “ภาวนา” นั้น จะต้องแยกจากภาวนา ในภาษาไทยก่อน คือไม่ใช่เป็นเพียงว่า มามุบมิบๆแต่ปาก แล้วบอกว่าเป็นภาวนา หรือ เอาถ้อยคำในภาษาพระ เอามนต์ เอาคาถา มาท่องมาบ่น แล้วว่าเป็นภาวนา ไม่ใช่อย่างนั้น

“ภาวนา” แปลว่า ทำให้เกิดให้มีขึ้น ทำให้เป็นขึ้น สิ่งที่ยังไม่เป็น ก็ทำให้มันเป็น สิ่งที่ยังไม่มีก็ทำให้มีขึ้น เรียกว่า ภาวน

เพราะฉะนั้น จึงเป็นการปฏิบัติ ฝึกหัด หรือลงมือทำ

“ภาวนา” จึงแปลอีก ความหมายหนึ่งว่า การฝึกอบรม ฝึกนั้น..เมื่อยังไม่เป็น ก็ทำให้มันเป็น อบรมนั้น..เมื่อยัง ไม่มีก็ทำให้มีขึ้น ยิ่งกว่านั้น เมื่อทำให้เกิด ให้มี ให้เป็น ขึ้นมาแล้ว ก็ต้องทำให้เจริญงอกงาม เพิ่มพูน พรั่งพร้อมขึ้นไปด้วย จนเต็มที่

“ภาวนา” จึงมี ความหมายตรงกับคำว่า“พัฒนา”ด้วย และจึงแปลง่ายๆว่า “เจริญ”

ในภาษาไทย แต่โบราณมาก็นิยมแปล ภาวนา ว่า เจริญ เช่น เจริญสมาธิ เรียกว่าสมาธิภาวนา, เจริญเมตตา เรียกว่า เมตตาภาวนา, เจริญวิปัสสนา เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา

ตกลงว่า “ภาวนา” แปลว่า การฝึกอบรม หรือ การเจริญ การทำให้เป็น ให้มีขึ้นมา และพัฒนาให้งอกงามบริบูรณ์

การภาวนา ในระดับที่เราต้องการในที่นี้ แยกเป็น ๒ อย่าง คือ จิตตภาวนา การฝึกอบรมจิตใจ อย่างหนึ่ง และ ปัญญาภาวนา การฝึกอบรมปัญญา อีกอย่างหนึ่ง

ถ้าใช้ตามนิยมของภาษาสมัยใหม่ เจริญ แปลว่า พัฒนา เพราะฉะนั้น จิตตภาวนา ก็แปลว่า การพัฒนาจิต หรือ พัฒนาจิตใจ ส่วนปัญญาภาวนา ก็แปลว่า การพัฒนาปัญญา

จิตตภาวนา นั้นเรียกง่ายๆว่า “สมถะ” บางทีก็เรียกว่า“สมถภาวนา” สมถะนี้ตัวแก่นของมันแท้ๆคือสมาธิ เพราะสมถะนั้นแปลว่า“ความสงบ” ตัวแก่นของความสงบก็คือสมาธิ ความมีใจแน่วแน่ สมถะนั้นมุ่งที่ตัวสมาธิ จะว่าสมาธิเป็นสาระของสมถะก็ได้ ฉะนั้น ก็เลยเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สมาธิภาวนา

คำว่า จิตตภาวนา ก็ดี, สมถภาวนา ก็ดี, สมาธิภาวนา ก็ดี จึงใช้แทนกันได้หมด

ต่อไปอย่างที่สอง ปัญญาภาวนา นั้นเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า วิปัสสนาภาวนา การเจริญวิปัสสนามุ่งให้เกิดปัญญา คือปัญญาที่เข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลาย ปัญญาในขั้นที่รู้จักโลกและชีวิตตามความเป็นจริง เรียกว่า “วิปัสสนา” แปลว่า รู้แจ้ง ไม่ใช่รู้แค่ทำมาหาเลี้ยงชีพได้เท่านั้น แต่รู้สภาวะ รู้สภาพความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย จึงเรียกว่า วิปัสสนา ซึ่งก็เป็นปัญญาระดับหนึ่งนั่นแหละ

เพราะฉะนั้น วิปัสสนาภาวนา ถ้าจะเรียกให้กว้าง เป็น ปัญญาภาวนา
ตกลง ก็แยกภาวนาเป็น ๒ อย่าง

อย่างที่หนึ่ง เรียกว่า จิตตภาวนาบ้าง, สมถภาวนาบ้าง, สมาธิภาวนาบ้าง
อย่างที่สอง เรียกว่า ปัญญาภาวนา หรือเรียกให้แคบจำกัดลงไปว่า วิปัสสนาภาวนา”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “ปฏิบัติธรรม ให้ถูกทาง”

“ปัญญา” เป็นตัวตัดสิน
ในการเข้าถึง “ จุดหมายของพระพุทธศาสนา

“มนุษย์เรานี้มีประสบการณ์ในเรื่องศาสนากันมาเป็นเวลายาวนาน มีนักคิดมากมายเกิดขึ้น แล้วก็ค้นคว้าหาหลักความจริงมาสอนมนุษย์ เกิดเป็นลัทธิศาสนาต่างๆมากมาย ซึ่งอาจแยกประเภทได้ดังนี้

ศาสนาประเภทที่ ๑

ย้ำเรื่อง “ศรัทธา” เขาบอกว่า ให้ฝากชีวิตมอบจิตมอบใจไว้ในองค์เทพสูงสุด แล้วทำตามคำสั่งสอนไป ไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งสิ้น อย่างนี้เป็นศาสนาที่ใช้ศรัทธาเป็นเครื่องตัดสิน ศรัทธาเท่านั้นจะให้ท่านเข้าถึงจุดหมายของศาสนา

ศาสนาประเภทที่ ๒

คือพวกที่ถือ “ศีลวัตร” เป็นตัวตัดสิน พวกนี้จะถือระเบียบ แบบแผน กฎเกณฑ์ ที่วางไว้ให้ แล้วประพฤติปฏิบัติตามนั้น ถือว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นเข้าถึงจุดหมายของศาสนาด้วย “ศีลวัตร” ดังมีคำในคัมภีร์เรียกว่า “สีเลน สุทฺธิ แปลว่า การบริสุทธิ์ด้วยศีล” คือเพียงว่ายึดถือศีล ข้อบังคับ ระเบียบ กฎเกณฑ์ อย่างเดียวเท่านั้น ให้เคร่งครัดเข้มงวด เมื่อปฏิบัติไปตามนั้นได้จริงแล้ว ก็จะหลุดพ้นถึงจุดหมายของศาสนาได้เอง อันนี้ พระพุทธศาสนาเรียกว่า “สีลัพพตปรามาส” ก็เป็นหลักการของศาสนาประเภทหนึ่ง

ศาสนาประเภทที่ ๓

ได้แก่ พวกที่ยึดเอา “สมาธิ” เป็นตัวตัดสิน คือบำเพ็ญข้อปฏิบัติทางจิตใจ ให้จิตดื่มด่ำ จนกระทั่งในขั้นสุดท้าย จิตจะเข้ารวมกลืนหายกลายเป็นหนึ่งเดียวกับภาวะสูงสุด ซึ่งอาจจะเป็นเทพสูงสุด หรือเป็น “ปรมาตมัน” อะไรก็ตาม ศาสนาประเภทนี้มีอยู่ไม่น้อย เป็นศาสนาขั้นที่ประณีตมาก

รวมแล้วก็มี ๓ ประเภทด้วยกัน คือ

๑. พวกปลงศรัทธา มอบจิตฝากใจให้ไปเลย
๒. พวกถือศีลวัตร ตัดสินด้วยความเคร่งครัดเข้มงวด
๓. พวกถือสมาธิ มุ่งให้จิตดื่มด่ำเข้ารวมกับภาวะสูงสุด

#แต่พระพุทธศาสนาไม่ได้ถืออย่างนั้น พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญทั้งแก่ศรัทธา ทั้งแก่ศีลวัตร และแก่สมาธิ ถือว่าเป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้ในการเข้าถึงจุดหมาย แต่..ไม่ใช่ตัวตัดสิน

#อันนี้เป็นข้อที่ควรต้องระวัง!
ไม่ใช่ว่า..พระพุทธศาสนาจะไม่ให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านั้น ทั้งศรัทธา ทั้งศีลวัตร และสมาธิ เป็นบาท เป็นฐาน และเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

สำหรับ “ศรัทธา” นั้นพระพุทธเจ้ายังเคยตรัสว่า “ สทฺธา ตรติ โอฆํ แปลว่า บุคคลย่อมข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา” ข้ามโอฆะคืออะไร? ข้ามโอฆสงสารก็คือข้ามวัฏฎสงสาร หมายความว่า พ้นจากการเวียนว่ายในความทุกข์ แสดงว่าพระพุทธเจ้ายอมรับว่าเราจะพ้นทุกข์ได้ด้วยศรัทธา นี่ ถ้ามองเผินๆเราก็บอกว่า..เอาแค่ศรัทธาก็พอ

ในกรณีของ “ศีล” ก็สามารถอ้างคำบาลีอีกแห่งหนึ่ง เวลาพระให้ศีลจบท่านก็สรุปทุกครั้งว่า “ สีเลน สคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา สีเลน นิพฺพุคึ ยนฺติ คือบอกว่า บุคคลย่อมไปนิพพาน คือ “นิพฺพุตึ” ด้วยศีล อ้าว! ถึงนิพพานได้ด้วยศีลแล้วนี่ ก็แสดงว่ายอมรับว่าศีลทำให้ไปนิพพานได้ พอแล้ว

สำหรับ “ สมาธิ ” ก็มีตัวอย่างคำสอนมากมายที่จะยกมาอ้าง ถ้าจะอ้างกันแบบง่ายๆ ว่าสมาธิก็พอที่จะถึงนิพพาน ก็สามารถยกตัวอย่างนิพพานขั้นต้นๆ อย่างที่เรียกว่า “นิโรธ” ในนิโรธ ๕ มี “วิกขัมภนนิโรธ” เป็นข้อแรก ได้ฌานสมาบัติก็ถือว่าถึง “วิกขัมภนนิโรธ” หรือในพระไตรปิฎก ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง “ตทังคนิพพาน” และ “ทิฏฐธัมมนิพพาน” พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า ปฐมฌานก็ตามทุติยฌานก็ตาม จนกระทั่งถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งเป็นสมาธิในระดับประณีต สูงขึ้นไปโดยลำดับนี้ แต่ละอย่างเป็นนิพพานได้โดยปริยาย พระองค์ตรัสไว้อย่างนั้น แต่ยังไม่ใช่ตัวแท้ตัวจริง

พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญแก่หลักธรรมเหล่านั้น แต่พระองค์ย้ำว่า “ปัญญา” นี่แหละ! เป็นตัวตัดสิน ศรัทธาก็เพื่อปัญญา ศีลวัตรก็เพื่อประคับประคองจนกระทั่งเกิดปัญญา โดยเฉพาะสินวัตรนั้นช่วยให้เกิดสมาธิ สมาธิก็ต้องนำไปสู่ปัญญา ถ้าไม่อย่างนั้นก็เป็นเพียงสมาธิที่นำไปสู่ภาวะที่ดื่มด่ำทางจิตเท่านั้น เป็นเรื่องของสมถะไม่ถึงนิพพาน

ตกลงว่า จะต้องให้ถึงขั้นสูงสุดคือปัญญา มีอุปมาเหมือนอย่างจะตัดต้นไม้ เราต้องมีอะไรบ้าง ขอให้คิดดู

๑. เราจะต้องโน้มจิตใจโน้มตัวเข้าไปหาการตัดต้นไม้นั้น ใจเอาด้วยกับการที่จะตัดต้นไม้ แล้วมุ่งเข้าไปที่ต้นไม้
๒. ต้องมีที่เหยียบยัน ถ้าตัวเราไม่มีที่ยืนยัน ไม่มีที่ยืนตั้งตัวไว้ เราก็ทำอะไรไม่ได้
๓. ต้องมีกำลังในการที่จะยกมีดขวานขึ้นตัด
๔. ต้องมีมีดขวานที่คมหรืออุปกรณ์ที่ใช้ตัดได้

ในอุปมานี้ การหันหน้ามุ่งเข้าไปหาสิ่งนั้นก็คือ “ศรัทธา” พื้นดินที่เหยียบยันก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เสมอว่า “ศีล” เปรียบเหมือนพื้นดินเป็นที่เหยียบยัน ทำให้เราทำการงานได้ ประการที่ ๓ เรี่ยวแรงกำลังของเรา ในการหยิบยกมีดขวานขึ้นมาตัด นั่นก็คือ “ สมาธิ ” แล้วสุดท้ายตัวมีด หรือ ขวาน ที่คมนั้น ก็คือ “ ปัญญา

ตัวที่ตัด ที่ทำให้ขาด ทำให้หลุด ทำให้สำเร็จกิจ คืออะไร? คือมีดหรือขวาน มีดขวานนั้นเป็นตัวตัด ทำให้งานสำเร็จบรรลุจุดหมาย แต่ถ้าเราไม่มี ๓ อย่างแรก ทั้งที่มีมีดมีขวาน เราก็ตัดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ๓ อย่างแรกก็ขาดไม่ได้ แต่ตัวตัดสินคืออันที่ ๔ ได้แก่ตัว “ปัญญา”

พระพุทธศาสนา สอนว่า “ปัญญา” เป็นตัวตัดสิน จึงถือว่าปัญญาเป็นคุณธรรมสำคัญ เป็นเอก ปัญญาในขั้นสูงสุดคือ ปัญญาในขั้นที่จะทำงานรู้เท่าทัน “ สัจธรรม ” ที่จะตัด“สังโยชน์” เครื่องผูกมัดสัตว์ไว้กับวัฏสงสาร ไว้กับความทุกข์ ได้แก่ปัญญาที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “วิปัสสนา” วิปัสสนาก็คือ “ ปัญญา ” นั่นแหละ! แต่เป็นปัญญาในระดับหนึ่ง ประเภทหนึ่ง ทำหน้าที่อย่างหนึ่ง ซึ่งเราเรียกชื่อเฉพาะว่าเป็น “วิปัสสนา”

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ปาฐกถาธรรม ณ สำนักงานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พสลฺ) เมื่อ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๒ จากหนังสือ “ลักษณะแห่งพระพุทธศาสนา” ลักษณะที่ ๗ ศาสนาแห่งปัญญา