สวดมนต์ สู้ภัยโควิด เติมบุญให้แผ่นดิน

การแพร่ระบาดของไวรัส #โควิด-19 สถานการณ์ได้เริ่มกลับมารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อีกครั้ง รัฐบาลมีมาตรการสกัดการแพร่ระบาดแล้วอย่างต่อเนื่อง มีอีกด้านที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการเยียวยาจิตใจ ทาง PunditSpirit ขอเชิญชวน พุทธศาสนิกชน ทั่วประเทศ ร่วมกัน สวดมนต์ สู้ภัยโควิด ช่วยขจัดปัดเป่า “เติมบุญให้แผ่นดิน” ให้ประชาชนสู้ภัย #โควิด-19
ก่อนสวดมนต์ เรามาทราบที่มาของการสวดมนต์กันก่อนนะคะ
การ สวดมนต์ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา คือการกำเนิดของการ #สวดมนต์ แสดงถึงจุดเริ่มต้นของ พิธีสวดมนต์ที่มีความหมายต่อพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ความเชื่อถือ และศรัทธาของประชาชนนำไปสู่การปฏิบัติที่หลากหลาย
การสวดมนต์มีความเชื่อว่า ช่วยให้หลุดพ้นจากทุกข์ทางใจ และชี้ทางให้เข้าถึง ซึ่งทางแห่งโลกกุตระ ด้วยการเทศนาสั่งสอนหลักการดำเนินชีวิต และช่วยพัฒนาชีวิตยกระดับจิตวิญญาณให้สูงขึ้น
พิธีสวดมนต์ ได้กลายเป็นพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อการรักษา และการป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ และเชื่อว่าช่วยให้พ้นทุกข์เช่น ทำให้มีปัญญา ทำให้ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ได้ทำให้จิตไม่เศร้าหมอง มีสุขคติเป็นที่ไป เป็นการเผยแผ่ และสืบทอด พระพุทธศาสนา การสวดมนต์มีความสำคัญเพื่อเป็นการสาธยาย รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ยังความเข้าใจ และนำมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ในชีวิตอย่างมีคุณค่า และทัศนคติโดยรวมต่อการสวดมนต์ของชาวพุทธในสังคมไทย
การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนามีความสำคัญ สรุปได้ 2 ประการ คือ สวดธรรมเพื่อ
รักษาพระศาสนา และสวดพระปริตร เพื่อคุ้มครองป้องกันอันตราย
การสวดมนต์ ถือเป็นการทำบุญอย่างหนึ่งในศาสนาพุทธ
เราทำบุญด้วยการสวดมนต์ จะสวดมนต์อย่างไรจึงจะเกิดกุศลขึ้น
การสวดมนต์เป็นกุศโลบายที่จะทำให้จิตมีสติและตั้งมั่นเป็นสมาธิอยู่กับบทมนต์ที่สวด จึงถือได้ว่าเป็นการพัฒนาจิตให้มีสติขั้นต้นในรูปแบบของสมถภาวนา เพราะเวลาเราสวดมนต์ทำให้ตามอง ปากอ่าน หูฟัง ทำให้เกิดสมาธิ สมาธิก่อให้เกิดซึ่งปัญญา ปัญญาจะนำพาชีวิตของเราให้ไปได้อย่างราบรื่น
ในทางวิทยาศาสตร์ เวลาที่เราเปล่งเสียง #สวดมนต์ เสียงซึ่งเป็นสัมมาวาจาและเป็นกุศลนี้ จะทำให้น้ำในตัวเราเรียงโมเลกุล เป็นน้ำที่มีผลึกใส ผิวเราจะใส ใจสว่าง เรียกได้ว่า ผิวเปล่งปลั่ง เพราะเป็นความงามที่ออกมาจากใจ ยิ่งถ้ามีความเข้าใจในบท #สวดมนต์ นั้นๆ ด้วย ก็จะยิ่งเป็นการสร้างปัญญาให้แก่ตัวผู้สวดด้วย

นอกจากทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว การ #สวดมนต์ ยังมีผลดีต่อสุขภาพด้วย เพราะเมื่อเจริญสติแล้วสมาธิย่อมเกิด และเมื่อสมาธิเกิดจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทำให้การปรุงแต่งของจิตเป็นอารมณ์ลดน้อยลง และส่งผลให้พลังงานของร่างกายเพิ่มมากขึ้น ความเจ็บไข้ได้ป่วยจึงลดลงเป็นธรรมดา และมีสุขภาพร่างกายดีเป็นผล ตลอดทั้งผู้ที่มีรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของชีวิต ควรปฏิบัติกิจวัตรนี้ เพราะเป็นหน้าที่ของชาวพุทธ
๑. เป็นการรักษาธรรมเนียม ประเพณีที่ดีให้คงอยู่
๒. เป็นการแสดงความเคารพบูชาพระรัตนตรัย
๓. เป็นการเชื่อมสามัคคีในหมู่คณะ ครบไตรทวาร
๔. เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน
๕. เพื่อฝึกกายใจให้เข็มแข็งอดทน
๖. เพื่อดำรงรักษาเอกลักษณ์ของชาติไทยไว้
๗. เพื่ออบรมจิตใจให้สะอาด สงบ สว่าง
๘. เพื่อฝึกจิตให้เกิดสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน
๙. เพื่อเป็นการทบทวนพระพุทธพจน์
วิธีสวดมนต์
สวดมนต์ที่ดีที่สุดคือ ต้องสวดด้วยการให้จิตจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์ ระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ด้วยใจที่นอบน้อม อ่อนน้อม ศรัทธา และเชื่อมั่นในคุณธรรมของพระพุทธเจ้า และควรจะสวดออกเสียง เพื่อทำกรรมทั้งสามให้สมบูรณ์ คือ มโนกรรม กายกรรม และวจีกรรม ผลของกุศลจึงจะเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์
บทสวดมนต์
เบื้องต้นควรสวดบทบูชาคุณพระรัตนตรัย คือ นะโม ตัสสะฯ แล้วต่อด้วย อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ และสุปะฏิปันโนฯไปจนจบ เพื่อให้จิตจดจ่อมั่นคงในพระรัตนตรัย ส่วนมนต์บทอื่น ๆ เช่น พาหุงฯ พระปริตรฯ ชินบัญชรฯลฯ นั้น ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ว่าจะสวดเพื่ออะไร เพราะบทสวดแต่ละบทมีความหมายไม่เหมือนกัน และมีวัตถุประสงค์ต่างกัน เช่น ถ้าประสงค์จะรบชนะข้าศึกควรจะสวดพุทธชัยมงคลคาถา หรือที่เรียกกันว่า บทสวดพาหุง แต่ถ้าจะต้องนอนในป่า ให้สวดเมตตาปริตร และขันธปริตร เพื่อปกป้องตนเองจากภูตผีปีศาจ สัตว์ร้าย และสัตว์มีพิษ
ถ้าประสบภัยแล้งให้สวดรัตนปริตร ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระอานนท์ให้นำไปสวดตอนที่เกิดภัยแล้งขึ้นที่แคว้นวัชชี หากประสงค์จะไม่ให้ตกจากที่สูงให้สวดบทธชัคคปริตร หรือหากจะต้องเดินทางไปในที่อันตรายให้สวดบท โมรปริตร
ส่วนมนต์บทชินบัญชรที่คนนิยมสวดกันนั้น เป็นการอัญเชิญพระอรหันต์สาวกมาล้อมรอบตัวเองซึ่งย่อมไม่มีประโยชน์ถ้าผู้สวดยังพร่องในศีลธรรม เพราะการสวดมนต์จะให้ผลได้ ศีลของผู้สวดจะต้องบริสุทธิ์ เหมือนกับการห้อยวัตถุมงคล ที่ไม่ว่าพระจะดังอย่างไร หากคนห้อยยังประพฤติทุศีลก็ไม่มีประโยชน์ เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคุ้มครองเฉพาะผู้ที่มีศีลมีธรรมเท่านั้น ผู้มีศีลมีธรรมจึงไม่จำเป็นต้องห้อยวัตถุมงคล เพราะมีเทวดาคุ้มรักษาให้อยู่รอดปลอดภัยอยู่แล้ว
ที่มากรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
สำหรับ “ #บทสวดรัตนสูตร ” ตามความเชื่อในสมัยโบราณว่ากัน ใช้สวดขจัดปัดเป่าภัยพิบัติร้ายแรงทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับชาวกรุงเวสาลี ซึ่งมีทั้งโรคระบาด อันตรายจากภูตผีปีศาจ ความอดอยากล้มตาย และด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนสูตรนี้ เมื่อนำมาสวด ภัยพิบัติร้ายแรงได้ระงับลงอย่างฉับพลัน
สำหรับประเทศไทยเคยสวดบทรัตนสูตรมาแล้วครั้งหนึ่งช่วงรัชกาลที่ 2 ใน ปีพุทธศักราช 2363 ที่เคยเกิดโรคห่าระบาด คนในพระนครล้มตายมากกว่า 30,000 ชีวิต จึงทำการตั้งพระราชพิธีอาพาธพินาศ นิมนต์พระสงฆ์จำนวน 500 รูป เพื่อสวดพระปริตรและประพรมน้ำพระพุทธมนต์กำจัดโรคระบาด
และปัจจุบันบทสวดนี้ ถูกนำมาใช้ในการทำน้ำพระพุทธมนต์สำหรับพระสงฆ์เพื่อเป็นการขจัดภัย 3 ประการ คือ ข้าวยากหมากแพง (ทุพภิกขภัย), ภูตผีปีศาจทำอันตราย (อมนุสภัย), โรคภัยไข้เจ็บ (โรคภัย)

“#บทสวดรัตนสูตร ” หรือ “ระตะนะสุตตัง”…เชื่อว่าจะเป็นการขจัดปัดเป่าภัยพิบัติ โรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะจะเป็นการไล่เชื้อร้ายไวรัส “ #โควิด-19 ” ให้ “ประเทศไทย”…“คนไทย” ผ่านพ้นวิกฤติใหญ่หลวงนี้ไปให้จงได้
กล่าวกันว่า…บทสวดนี้เป็นการพรรณนาสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย ให้เกิดเป็นอานุภาพ ขจัดภัยพิบัติทั้งมวล ขับไล่เสนียดจัญไร โรคภัยไข้เจ็บ เป็นพระสูตรที่พระอานนท์รับการถ่ายทอดมาจากพระพุทธเจ้า
เพื่อใช้สวดขจัดปัดเป่าภัยพิบัติร้ายแรงทั้งหลายที่เกิดขึ้น เพื่อโปรดชาวกรุงเวสาลีให้รอดพ้นจากโรค ระบาดอหิวาตกโรค ปัดเป่าภยันตรายทั้งหลายทั้งปวงที่กำลังรุมเร้า และเผชิญกับความอดอยากเพราะฝนแล้ง
…จนผู้คนล้มตายเกลื่อนกลาดเป็นจำนวนมาก ต้องนำศพไปทิ้งนอกเมือง
พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้พระอานนท์เถระ รำลึกถึงคุณพระรัตนะ ทำ สัจกิริยาประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้เกิด ความสุขสวัสดีแก่ชาวกรุงเวสาลี และด้วย อานุภาพแห่งพระรัตนสูตรนี้ ภัยพิบัติร้ายแรงได้ระงับลงอย่างฉับพลัน ปัจจุบัน …นิยมสวด “รัตนสูตร” ทุกครั้งที่มีการ ทำน้ำพระพุทธมนต์
ทั้งยังมีอานุภาพป้องกันจากโจรผู้ร้าย นายผู้ปกครอง อาวุธ เคราะห์กรรม สัตว์ร้าย ภัยธรรมชาติ และพ้นจากอุปสรรคอันตรายทั้งหลาย
สำหรับเนื้อหาของบทสวดรัตนสูตร เพื่อความร่มเย็นในชีวิต เป็นการกล่าวถึงคุณ พระพุทธ พระ ธรรม และ พระสงฆ์ แบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกันคือ…
ส่วนแรกการประกาศให้เหล่าภูตคุ้มครองรักษาพวกมนุษย์ที่นำเครื่องพลีกรรมมาบวงสรวงทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
ส่วนที่สอง…บรรยายคุณพระรัตนตรัย โดย เฉพาะคุณของพระสงฆ์ เป็นผู้ประกอบด้วยศีล มีใจมั่นคง ไม่มีกามกิเลส ไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม และมีพระนิพพานอันเป็นอมตะ
ส่วนสุดท้าย…ส่วนที่สามประกาศให้ภูตทั้งหลาย จงนมัสการพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ และ อำนวยพรให้สรรพสัตว์เหล่านี้มีความสวัสดี
ศรัทธาความเชื่อเกี่ยวกับบทสวดขับไล่โรคภัยไข้เจ็บ…คุ้มภัย…ป้องกันตัว ท่ามกลางกระแสแพร่ระบาด “Covid-19”

“ แต่อย่าลืมว่า การสวดมนต์ท่องบ่นคาถาอย่างเดียว ไม่ได้ช่วยให้หายป่วย หากแต่เป็นการเสริมสร้างกำลังใจ ว่าได้อัญเชิญอำนาจพุทธคุณ มาอำนวยความสุข ความเจริญ และขจัดภยันตราย ทุกข์โศกโรคภัย…เพราะเวลาไม่สบาย ยอมรับกันว่า ถ้าคนป่วยมีกำลังใจ และสมาธิที่ทำให้จิตใจสงบ ”
แน่นอนว่า…จะช่วยให้การรักษาได้ผลดีกว่าคนป่วยที่ท้อแท้สิ้นหวัง หมดกำลังใจ
“ ศรัทธา ”…นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อ โปรดอย่าได้…“ลบหลู่”.
ขอเชิญชวน เข้าร่วม #สวดมนต์ สู้ภัยโควิด ช่วยขจัดปัดเป่า “เติมบุญให้แผ่นดิน” ให้ประชาชนสู้ภัยโควิด-19 สแกน QR Code นี้กันนะคะ

15 อานิสงส์ สวดมนต์ข้ามปี
มนต์ แปลว่า คำศักดิ์สิทธิ์ คำสำหรับสวดพุทธมนต์เป็นคำศักดิ์สิทธิ์เพราะเป็นคำสวดพระโอวาทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ การที่ชาวพุทธสวดมนต์ก็เพื่อเป็นการทบทวนพระโอวาท ที่เป็นข้อธรรมะ เมื่อใครได้ทบทวนข้อธรรมะของพระองค์ก็ได้ชื่อว่า
1. เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดของมนต์
2. เคารพในพระธรรม เพราะข้อความที่สวดเป็นธรรมะ
3. เคารพในพระสงฆ์ เพราะบทสวดมนต์ได้ถ่ายทอดมาโดยพระสงฆ์
สิ่งที่เราเคารพ 3 อย่างนี้ รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย การเคารพพระรัตนตรัยมีอานิสงส์ทำให้เรามีโอกาสสร้างบุญได้ต่อไป แม้ขณะที่กำลังสวดมนต์ ผลบุญก็เกิดขึ้นเป็นลำดับๆ แล้ว ตั้งแต่ขณะสวดมนต์ ร่างกายของเราอยู่ในอาการอันสงบ สำรวม ศีลก็ไม่ขาด พอจิตใจสงบ ก็เป็นสมาธิ (Meditation)ได้เร็ว
เมื่อทบทวนธรรมะ ปัญญาก็งอกงามไปตามลำดับๆ ได้ อานิสงส์ทางปัญญา ตกลงได้ครบทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอุปกรณ์เป็นพาหนะนำไปสู่การสร้างบุญ สร้างคุณงามความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ยิ่งกว่านั้นผู้ที่สวดมนต์เป็นประจำ ยังเป็นผู้ที่มีโอกาสพิจารณาตนเองได้มาก ไม่วู่วาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สวดมนต์เป็นประจำ จะมีอานิสงส์ให้พ้นภัยทั้งปวง เนื่องมาจากใจที่สงบของเขา ใจที่เกาะอยู่ในธรรมจะสะอาดและใสมาก เมื่อจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นกับตัว แม้จะหาเหตุผลไม่ได้ แต่จะเกิดการสังหรณ์ล่วงหน้า เพราะใจสัมผัสได้เร็ว ทำให้เตรียมตัวรับสถานการณ์ต่างๆ ได้ฉับพลัน
ผู้ที่สวดมนต์เป็นประจำ เทวดาจะลงรักษา เพราะเทวดาก็อยากได้บุญ เป็นการต่ออายุให้อยู่บนสวรรค์ได้นานๆ คนที่เทวดาลงรักษา จะทำอะไรก็เจริญรุ่งเรือง และคิดจะทำแต่ความดี ทำแต่สิ่งที่เป็นบุญกุศล นี่แหละคืออานิสงส์โดยย่อของการสวดมนต์ ซึ่งอธิบายในลักษณะที่เป็นเหตุเป็นผล
การสวดมนต์เป็นสุดยอดแห่งกุศลกรรมอันเป็นสิริมงคล ผู้สวดมนต์ย่อมได้รับอานิสงส์คือผลแห่งความดีในเบื้องต้น ดังนี้:
1. ทำให้มีสุขภาพดี การสวดมนต์ด้วยการออกเสียง ช่วยให้ปอดได้ทำงาน เลือดลมเดินสะดวก ร่างกายก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
2. ผ่อนคลายความเครียด ในขณะสวดมนต์จิตจะจดจ่อกับบทสวด สมองจะปลอดโปร่ง ไม่คิดในเรื่องที่ทำให้เครียด จึงทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย
3. เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บทสวดมนต์แต่ละบทเป็นการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เมื่อสวดมนต์ไปก็เท่ากับว่าได้เพิ่มพูนศรัทธาความเชื่อเลื่อมใสในพระรัตนตรัยให้มั่นคงยิ่งขึ้น
4. ขันติบารมีย่อมเพิ่มพูน ขณะที่สวดมนต์ต้องใช้ความอดทนอย่างสูงเพื่อเอาชนะความปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย รวมทั้งอารมณ์ฝ่ายต่ำที่จะเข้ามากระทบจิตใจทำให้เกิดความเกียจคร้าน ดังนั้น ยิ่งสวดบ่อยๆ ความอดทนก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น
5. จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขณะที่สวดมนต์จิตจะจดจ่ออยู่กับบทสวดไม่วอกแวกวุ่นวายไปในที่อื่น จึงมีความสงบเกิดสมาธิมั่นคง สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส งดงาม แม้เพียงระยะเวลาน้อยนิด ก็เป็นบุญกุศลประมาณค่าไม่ได้
6. เพิ่มพูนบุญบารมี ขณะที่สวดมนต์จิตใจจะสะอาด ปราศจากกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น จึงเป็นบ่อเกิดแห่งบุญบารมี เมื่อสั่งสมมากเข้าก็จะเป็นทุนสนับสนุนให้บรรลุผลตามที่ต้องการได้
7. จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา การแผ่เมตตาเป็นการมอบความรักความปรารถนาดีให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อลดละความเห็นแก่ตัว เป็นอุบายกำจัดความโกรธให้เบาบางลงไป พบแต่ความสุขสงบ
8. เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต การสวดมนต์เป็นการทำความดีทั้งทางกายคือการสละเวลามาทำ ทางวาจาคือการกล่าวคำสวดที่ถูกต้อง และทางใจคือการตั้งใจทำด้วยความมั่นคง ย่อมเกิดสิริมงคลแก่ผู้สวดภาวนาทุกประการ
9. เทวดาคุ้มครองรักษา ผู้ที่สวดมนต์เป็นประจำย่อมเป็นที่รักของเทวดา จะทำอะไรก็ตามหรือแม้แต่จะเดินทางไปที่ไหนๆ ก็ปลอดภัยจากอันตราย ประสบความสำเร็จเหมือนมีเทวดาให้พร
10. สติมาปัญญาเกิด การสวดมนต์เป็นการสั่งสมคุณความดี ทำให้มีสติและมีจิตสำนึกที่ดีในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะถ้าสวดพร้อมกับคำแปลก็จะเกิดสติปัญญานำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตได้
11. มีผิวพรรณผ่องใสเพราะมาจากจิตใจอันชื่นบาน การสวดมนต์ด้วยการเปล่งเสียงเป็นการกระตุ้นเซลล์ผิวหนัง จะทำให้มีผิวพรรณผ่องใสใจเป็นสุข เพราะขณะที่สวดมนต์จิตจะตั้งมั่นในบุญกุศล ไม่คิดไปในเรื่องอื่นที่ทำให้ใจเศร้าหมอง
12. พิชิตใจผู้คนให้เพื่อนมนุษย์รักใคร่ การสวดมนต์เป็นประจำจะทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตร ผู้ที่เป็นมิตรอยู่แล้วก็รักใคร่กลมเกลียวกันมากยิ่งขึ้น แม้คนที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันก็จะหันกลับมาคืนดีในที่สุด
13. ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย การสวดมนต์เป็นประจำ จะทำให้รอดพ้นจากภัยอันตราย อมนุษย์ไม่อาจมาทำร้ายได้ หรือรอดพ้นในยามโชคร้ายประสบเคราะห์กรรมอันจะมีมาถึงตัว เพราะจะทำให้มีสติกำกับอยู่ตลอดเวลา
14. ทำให้กรรมอ่อนแรงลง สวดมนต์ทำให้ดวงบุญสว่างไสวขึ้นกว่าเดิม การสวดมนต์นับเป็นการขจัดปัดเป่าเสนียดจัญไร ท่านกล่าวไว้ว่าชีวิตของคนเราจะดีหรือชั่วนั้นก็อยู่ที่การกระทำ ทำดีก็มีความสุข ทำชั่วก็ทุกข์ร้อนรนใจ การสวดมนต์จะช่วยให้สิ่งที่ร้ายกลายเป็นดี
15. ครอบครัวเป็นสุขสดใส การสวดมนต์เป็นการสร้างความสุข และเกิดความสามัคคีในครอบครัว หากครอบครัวใดที่พ่อบ้านแม่เรือนสวดมนต์และสอนลูกหลานให้สวดมนต์เป็นประจำ จะมีความสงบสุข ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ส่งผลให้สังคมมีความสงบสุข
สรุป: การสวดมนต์ ไม่ว่าสวดมนต์ข้ามปีหรือสวดมนต์ในวาระต่างๆ ล้วนให้ประโยชน์อย่างมากมายแน่นอน
เพราะขนาดในพระไตรปิฎกยังมีบันทึกว่า แม้ค้างคาว 500 ตัวผู้ไม่รู้ความหมายของคำสวดมนต์ แค่ฟังสวดมนต์ก็ได้บุญ ละโลกได้ไปสวรรค์ด้วยแล้ว ยิ่งหากเราเป็นผู้สวดเอง ยิ่งได้บุญยิ่งมากเพียงใด
แล้วถ้าหากท่านใดค้นคว้ารู้ความหมายของคำสวดมนต์ด้วย บุญก็ยิ่งทับทวี
ยิ่งถ้าหากรู้และเข้าใจในความหมายของคำสอนในบทสวดมนต์ ยิ่งเลื่อมใสซาบซึ้งในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วสวดมนต์ด้วยความสว่างไสวภายในใจไปด้วย เจริญสมาธิภาวนาไปด้วยอย่างถูกหลักวิชชา ย่อมได้รับอานิสงส์แห่งบุญมหาศาล.
ที่มา: อานิสงส์สวดมนต์ โดย หลวงพ่อทัตตชีโว และ หนังสือ “สวดมนต์อานิสงส์ครอบจักรวาล
