บุญ-บาป มีจริงหรือไม่ เรื่องเล่า กัลยาณมิตร บัณฑิตชมรมพุทธ

บุญ-บาป

บางคนบอกว่า บุญ-บาป ไม่มีจริง เพราะมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ส่วนบางคนบอกว่าบุญ-บาปคือ นามธรรม เหมือน ความรัก ความกลัว ที่จับต้องไม่ได้ แต่รับรู้ได้ ก็ว่ากันไป

แต่ถ้าคุณเป็นชาวพุทธ ที่ศึกษาจริง ไม่ใช่อ่านมาแค่ 3-4 บรรทัด หรือฟังคนรู้งูๆปลาๆพูด แล้วบอกว่ารู้หมดแล้ว ก็จะไม่พูดเช่นนั้น

ถ้าเป็นชาวพุทธ ทุกคนจะทราบว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้ากล่าวนั้น จะไม่มีสิ่งใดที่ไม่จริง และไม่มีประโยชน์ ทุกสิ่งที่ท่านกล่าวหรือที่เรียกรวมๆ ว่า “ธรรม” นั้นจะเป็นจริงเสมอ ส่วนใครจะไม่เข้าใจนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

และพระพุทธเจ้า จะไม่พูดโกหก แม้จะพูดโกหกเพื่อเอาใจ หรือเพื่อให้ผู้ฟังสบายใจ ก็ไม่มี

พระพุทธเจ้ากล่าวถึง บุญ ไว้อย่างไรบ้างในพระไตรปิฎก …

“การสั่งสมบุญ นำสุขมาให้”

“บุคคลอย่าพึงดูหมิ่นบาปว่า บาปมีประมาณน้อยจักไม่มาถึง แม้หม้อน้ำย่อมเต็มไปด้วยหยาดน้ำที่ตกทีละหยาดๆ ฉันใด คนพาลสั่งสมบาปแม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มด้วยบาป ฉันนั้น”

เวลาเราทำบุญเสร็จ พระให้พร เราจะกรวดน้ำ และกล่าว “ขอผลบุญกุศลครั้งนี้ จงไปถึงญาติพี่น้องของข้าพเจ้าด้วยเถิด”

“บุญ” แปลว่า เครื่องชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์

หรือในตัวอย่างที่แสดงถึงอานิสงส์ของ ปาฏิปุคคลิกทาน (ทานแบบเฉพาะเจาะจง) “ให้ทานในบุคคลผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้ 100,000 เท่า”

นั่นแสดงว่า …

1. “บุญ” และ “บาป” สามารถสั่งสมได้ ก็หมายความว่า มีปริมาณที่เพิ่มขึ้น หรือลดลงได้
2. “บุญ” สามารถส่งต่อ หรือส่งมอบให้ผู้อื่นได้ ด้วยวิธีการ “อุทิศ” และรับโดยการ “อนุโมทนา”
3. “บุญ” มีสถานะเหมือน Solvent หรือตัวทำละลาย คล้ายน้ำที่เป็นตัวทำละลาย ชำระล้าง หรือนำพาสิ่งสกปรกออกไปได้
4. “บุญ” สามารถบอกได้ว่า ทำบุญกับผู้รับแบบไหน ได้ผลบุญแตกต่างกันกี่เท่า แสดงว่าย่อมต้องมีหน่วยวัดปริมาณบุญ และต้องเห็นบุญ จึงสามารถบอกปริมาณบุญว่ามากหรือน้อยได้

และมีอีกคำหนึ่งที่ชาวพุทธเรามักจะคุ้นเคย คือ คำว่า “สายบุญ” หรือ “ท่อธารบุญ” กับ “ดวงบุญ” นั่นแสดงว่า บุญมีลักษณะคล้ายกับของเหลว คือ ไหลได้เป็นสาย คล้ายน้ำไหลในท่อ และมีลักษณะเป็นดวง หรือเหมือนไฟฟ้า ที่สามารถไหลผ่านสายไฟได้ ส่วนตัวไฟฟ้าอาจมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ถ้ามีกล้องจุลทรรศน์ส่องไปจนสุดละเอียด ก็จะเจอตัวไฟฟ้า คือ อนุภาคของอิเลคตรอน

บุญก็เช่นเดียวกันกับไฟฟ้า ที่มองด้วยตาของมนุษย์ไม่เห็น แต่หากใช้ดวงตาของพระพุทธเจ้า ที่เปรียบเสมือนกล้องจุลทรรศน์ที่ส่องได้ละเอียดที่สุดในโลก ก็จะเห็นสภาพบุญว่าเป็นดวง เราเลยเรียกว่า ดวงบุญ บุญจึงถูกเก็บอยู่ในภาชนะที่มีลักษณะเป็นดวง ส่วนจะบอกว่าบุญมากบุญน้อย ก็ดูจากขนาดของดวง เช่น ดวงบุญขนาด 1 นิ้ว ขนาด 1 คืบ ขนาด 1 วา เป็นต้นเหมือนเราเห็นน้ำบรรจุในขวด 1 ลิตร กับเห็นน้ำในถัง 100 ลิตร เราก็รู้ว่า น้ำในถังมีมากกว่าน้ำในขวด 100 เท่า โดยที่ไม่ต้องเอาน้ำมาตวงดู

ดังนั้นเวลาพระพุทธเจ้า ตรัสพยากรณ์ ให้แก่พระโพธิสัตว์พระองค์ใดว่า ต่อไปในภายภาคหน้าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งแน่นอน ท่านก็ไม่ได้ใช้วิธีดูดวงดูลายมือ แบบที่หมอดูทั่วไปดูกัน ท่านก็แค่ดูไปที่ดวงบุญของพระโพธิสัตว์ท่านนั้น ว่ามีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะเป็นได้หรือยัง ถ้าดูแล้วเห็นว่าใหญ่ถึงระดับเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้ว ก็สามารถพยากรณ์ได้โดยที่ไม่ผิดแน่นอน เหมือนมีคนมาถามผู้เขียนว่า เขาจะมีปัญญาซื้อรถเบนซ์มาขับได้หรือเปล่า ถ้าผู้เขียนสามารถส่องดูบัญชีธนาคารเขาได้ และรู้ราคารถเบนซ์ ซึ่งถ้าดูแล้วเห็นว่ามีเงินพอที่จะซื้อได้ ก็บอกไปชิวๆเลยว่า ได้แน่ ไม่มีผิดด้วย หลักง่ายๆ ก็แค่นี้เอง

บุญ-บาป จึงมีจริง สามารถเห็นได้ ชั่งตวงวัดได้ มิฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่สามารถบอกได้เลยว่า ทำบุญแบบไหนได้บุญเยอะ ทำบุญแบบไหนได้บุญน้อย ที่เราไม่เห็นเพราะตาเรามันไม่ดีเอง ไม่ใช่พอตัวตาบอดก็สรุปว่า ที่ไม่เห็นมันไม่มีนะครับ

ขอขอบคุณผู้เขียน Cr.Somchet Mhin Jearanaisil

“ สุโข ปุญญัสสะ อุจจะโย ”
การสั่งสมบุญ นำสุขมาให้

(พุทธพจน์)

บุญ คือ สิ่งซึ่งเกิดขึ้นในจิตใจแล้วทำ ให้จิตใจใสสะอาด ปราศจากความเศร้าหมอง ขุ่นมัว ก้าวขึ้นไปสู่ภูมิที่ดี เกิดขึ้นจากการที่ใจ ได้เพื่อนคิดที่ดี คือ พระธรรม ทำให้เลือกเฉพาะสิ่ง ที่ดี ที่ถูก ทีควร ที่เป็นประโยชน์ แล้วพูดดี ทำดี ตามที่คิดนั้น

บุญเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมส่งผลปรุงแต่ง ใจของเราให้มีคุณภาพดีขึ้น คือ ตั้งมั่นไม่หวั่น ไหว บริสุทธิ์ผุดผ่องไสว โปร่งโล่งไม่อึดอัด อิ่มเอิบ ไม่กระสับกระส่าย ชุ่มชื่นเบาสบาย ผ่อนคลายไม่ตึงเครียด และบุญที่เกิดขึ้นนี้ยังสามารถสะสม เก็บไว้ในใจได้อีกด้วย

คุณสมบัติของบุญ

1.   ชำระกาย วาจา ใจ ให้สะอาดได้ 
2.   นำความสุขความเจริญก้าวหน้าได้ 
3.   ติดตามตนไปทุกฝีก้าว แม้ไปเกิดข้ามภพข้ามชาติ 
4.   เป็นของเฉพาะคน ใครทำใครได้ โจรลักขโมยไม่ได้ 
5.   เป็นที่มาของโภคทรัพย์สมบัติทั้งหลาย 
6.   ให้มนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติ นิพพานสมบัติ แก่เราได้
                                          ฯลฯ

ทางมาแห่งบุญ โดยย่อมีทางมา 3 ทาง เรียกว่า “ บุญกิริยาวัตถุ 3 ”

บุญกิริยาวัตถุ 3 แปลว่า ที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือหลักการทำความดี หมายถึง วิธีการสร้างกุศลที่ถูกต้อง  มี 3 ประการได้แก่

   1.ทำบุญด้วยการให้ (ทานมัย) คือการแบ่งปันสิ่งของ แก่คนอื่น ด้วยความเต็มใจ เป็นการเสียสละบุญที่เกิดจากการทำทาน จะไปกำจัดกิเลสตระกูลโลภะ(ความโลภ)

หากยังไม่หมดกิเลสเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์…จะทำให้มีโภคะ(โภคยทรัพย์)สามารถสร้างความดีได้ง่าย ไม่อดอยากแร้นแค้น

  2. ทำบุญด้วยการรักษาศีล (สีลมัย) เป็นการสำรวมกายและวาจา โดยอ่อนน้อมถ่อมตน มีวาจาสุภาพบุญที่เกิดจากการรักษาศีล…จะไปกำจัดกิเลสตระกูลโทสะ(ความโกรธ)

หากยังไม่หมดกิเลสเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์…จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง มีอายุขัยยืนยาว สามารถสร้างความดีได้ยาวนาน 

  3. ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา (ภาวนามัย) คือ การฝึกอบรมจิตให้สงบและเกิดปัญญา ไม่ถูกโมหะครอบงำ คิดแต่เรื่องดีที่เป็นกุศล เป็นการสำรวมจิตใจ เพื่อกำจัดกิเลสบุญที่เกิดจากการเจริญภาวนา…จะไปกำจัดกิเลสตระกูลโมหะ(ความหลง)

หากยังไม่หมดกิเลสเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์…จะทำให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถสอนตนเองได้ รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดทั้งทางโลกและทางธรรม 

หลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

เราต้องเร่งสร้างบุญใหม่ตั้งแต่บัดนี้ จะได้เป็นบุญเก่าติดตัวไปในวันหน้า โดยยึดหลักว่า

1.  เช้าใดยังไม่ได้ทำทาน เช้านั้นอย่าเพิ่งทานข้าว
2.  วันใดยังไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล วันนั้นอย่าเพิ่งออกจากบ้าน 
3.  คืนใดยังไม่ได้สวดมนต์ เจริญสมาธิภาวนา คืนนั้นอย่าเพิ่งเข้านอน

***หากสร้างบุญจนเป็นนิสัย(ทำทุกวัน)…จะกลายเป็นบารมี(บุญที่เข้มข้นคุณภาพพิเศษ)***

“ เราเกิดมาเพื่อ…ทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี “

ขอขอบคุณบทความจาก กัลยาณมิตร

ติดตามข้อมูลข่าวสารของเราได้ที่ : PunditSpirit.com
ศึกษาธรรมะ สมาธิ เจริญปัญญา :https://punditspirit.com/category/meditation/